กรรมจำแนกสัตว์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ถ้าเราทำไม่ได้”
กราบเรียนนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกมีคำถามหนึ่งคำถาม ตัวลูกเองนี้รู้ดีว่า คนที่เกิดมาเป็นลูกนั้นควรเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ ตั้งแต่เล็กจนโตลูกก็พยายามช่วยเหลือพวกเขาทุกอย่างมาตลอด ก่อนปฏิบัติธรรมนั้นลูกน้อยใจมากเพราะเหมือนว่าเราสู้ดิ้นรนอยู่คนเดียว เมื่อพวกเขาต้องการสิ่งใดๆ ก็จะขอมา ถ้าขอไม่ได้ก็ว่าเป็นคนไม่ดี ก็จะหลอกล่อ ล่อลวง ประชดประชัน ด่าขู่เข็ญสารพัดเพื่อให้ได้ดั่งใจพวกเขา ทุกคนอายุยังน้อย ร่างกายแข็งแรงอยู่ ลูกไม่เคยเรียกร้องอะไรจากพวกเขา แต่สะเทือนใจลึกๆ มากไปหน่อย ที่พ่อแม่ พี่สาว น้องชาย ไม่มีแม้แต่น้ำใจ กำลังใจ ความเข้าอกเข้าใจให้ลูกบ้างเลย เหมือนลูกมีสิทธิ์ที่จะพูดได้แค่สองคำคือให้หรือไม่ให้เท่านั้น พวกเขาปฏิเสธที่จะรับฟังสิ่งอื่นๆ เสมอ มักพูดว่า ถ้าไม่ให้ก็ไม่ต้องเทศน์ ไม่ต้องพล่าม ไม่ต้องทวงบุญคุณ ตอนนี้ลูกไม่ค่อยทุกข์ในสิ่งนี้แล้วค่ะ แต่มีคำถามในใจลึกๆ ว่า ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าลูกนี้ไม่สามารถทำให้พวกเขาได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ แล้วเรานั้นเป็นคนที่ไม่ดีใช่ไหมเจ้าคะ ขอบคุณมากค่ะ
ตอบ : ไอ้นี่เวลาถ้าในครอบครัว ปัญหาในครอบครัวไง ถ้าปัญหาในครอบครัว สิ่งที่ปัญหาในครอบครัวมันเป็นรากเหง้า รากเหง้าของปัญหาสังคมเลย รากเหง้าของปัญหาสังคม ดูสิ เวลาการพัฒนา เขาบอกการพัฒนาต้องกลับไปพัฒนาที่ครอบครัว เริ่มต้นจากครอบครัวนะ ถ้าครอบครัวร่มเย็นเป็นสุข ครอบครัวเข้าใจกันนะ ปัญหาสังคมจะเบาบางลง ปัญหาสังคมที่จะเกิดขึ้นบางทีก็เกิดขึ้นจากครอบครัวก่อน ครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นของทุกๆ อย่าง ถ้าครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นของทุกๆ อย่าง เห็นไหม
ฉะนั้น เวลาคำถามเวลาเขาถามว่า เวลาเขาเกิดมา เขาเกิดมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย น้อยใจในครอบครัวของตน ถ้าน้อยใจในครอบครัวของตนแล้วเขาก็พยายามดิ้นรนของเขา เขาไปทำงานของเขา แล้วเขาส่งเสีย
คำว่า “ส่งเสีย” สิ่งที่ว่าส่งเสีย ถ้าส่งเสียเพื่อเป็นประโยชน์นะ ในครอบครัวครอบครัวหนึ่ง เวลาเกิดมาแล้วเวลามันมีความเห็นที่ขัดแย้งกัน มีความเห็นที่แตกต่างกัน มันจะเป็นปัญหาที่ฝังลึกในใจ แต่ไม่ได้คุยกัน ไม่ได้หันหน้ามาปรึกษากัน ไม่ได้หันหน้ามาคุยกัน ถ้าหันหน้ามาปรึกษา มาคุยกัน ปัญหาครอบครัวมันก็จะแก้ไขได้ มันจะเบาบางลง
แต่บางทีมันคุยกันไม่ได้หรอก มันคุยกันไม่ได้นะ มันคุยกันไม่ได้เพราะบางที่คนใกล้ชิดกันมันเรื่องเวรเรื่องกรรมไง ถ้าเรื่องเวรกรรม นี่ผลของวัฏฏะๆ เรื่องผลของวัฏฏะนี่สำคัญมาก เรื่องผลของวัฏฏะนะ
ดูเวลาโครงการช่วยชาติฯ ของหลวงตา โครงการช่วยชาติฯ ของหลวงตา ท่านพูดเอง ท่านบอกว่าท่านทำโครงการช่วยชาติฯ แล้วมีพวกลูกศิษย์ลูกหาที่มีความเห็นด้วย ท่านบอกนี่สายเวรสายกรรม เรามีสายเวรสายกรรมต่อกันมา เวลาพูดสิ่งใด ท่านทำสิ่งใด แล้วเรามีมุมมองเห็นว่า เรามีมุมมองเห็นว่าถูกต้อง เรามีมุมมองเห็นว่าเราอยากช่วยเหลือเราอยากเจือจานไง
แต่มีลูกศิษย์ของท่านหลายคนนะ เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิเลย เริ่มตั้งแต่หลวงตาท่านปรึกษาก่อน ปรึกษาว่าท่านจะออกทำโครงการช่วยชาติฯ โอ๋ย! พวกนั้นมันร้องกันตายเลย มันบอกว่าเป็นไปไม่ได้ๆ คัดค้านตั้งแต่ยังไม่ทำ แล้วพอหลวงตาทำปั๊บ เขาก็แยกตัวของเขาออกไปเหมือนกัน เพราะว่าเขาเป็นนักเศรษฐกิจ เขามีการศึกษาสูงมาก พอเขามีการศึกษาสูงมาก เขาเห็นว่า คนคนหนึ่งจะไปหอบหิ้วประเทศชาติจะไปแบกประเทศชาติมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรอก แล้วถ้าเป็นไปได้ เขาต้องขวนขวายมาช่วยเหลือเจือจานจนเกินกำลังของเขา เขาทำไม่ได้ เขาก็เลยแยกตัวออกไป นี่พูดถึงมุมมอง
เวลาหลวงตาท่านบอกว่า ลูกศิษย์ลูกหาของท่านมันมีสายบุญสายกรรมกันมา เพราะมีสายบุญสายกรรมกันมา เวลาท่านพูดสิ่งใด ท่านพาทำสิ่งใด ถึงมีมุมมอง มีความเห็นด้วย เวลาท่านไปพูดนะ เมื่อก่อนเราพูดบ่อยมาก เวลาท่านพูดถึงหลวงปู่ลีไง “ลีเอ้ย! เราจะช่วยชาติกันเนาะ เราจะกัดก้อนเกลือกินกันว่ะ”
ฟังคำนี้คำที่ท่านไปปรารภกับหลวงปู่ลี ท่านก็รู้แล้วว่าเราจะกัดก้อนเกลือกินน่ะ คือว่ามันต้อง โอ้โฮ! ไม่มีอะไรจะกินเลยล่ะ ต้องทุ่มเทกันเต็มที่ แล้วท่านไปปรึกษากับหลวงปู่ลีแล้วพูดกับหลวงปู่ลีประจำ แล้วท่านก็มาพูด เวลาปรึกษา “เราจะกัดก้อนเกลือกินกันว่ะ” เราจะกัดก้อนเกลือกิน เราจะทุ่มเท เราจะทำจริงทำจังของเรา
ทีนี้ไอ้พวกที่มีการศึกษาเขาทิ้งไปเลย นี่ขนาดที่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดนะ ลูกศิษย์ที่ว่าอุปัฏฐากกันมานมมานานทิ้งไปเลย ทิ้งไปเลยนี่เยอะมาก
ไอ้นี่เราจะบอกว่า ถ้าไม่ใช่สายบุญสายกรรม แม้อยู่ด้วยกันมันก็มีมุมมองที่แตกต่างกัน แต่นี้เวลาสายบุญสายกรรม เวลาสายบุญสายกรรมมันจะเชื่อฟังกัน มันจะมีมุมมองคล้ายๆ กัน
ทีนี้เวลาสายบุญสายกรรมที่ว่าเป็นสิ่งที่มีเวรมีกรรมมาต่อกันไง ถ้ามีเวรมีกรรมมาต่อกัน เวลาการเกิดในครอบครัว กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ถ้ากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน โยมเป็นผู้ที่ทุ่มเทให้กับครอบครัว ถ้าทุ่มเทให้ครอบครัว ทำไมพ่อแม่พี่น้องเขาเห็นเป็นทางเดียวกันหมดเลยล่ะ แสดงว่าโยมมีมุมมองไม่เหมือนเขา
ถ้าโยมมีความเห็นเหมือนเขา ถ้ามีความเห็นเหมือนเขา แต่เราไม่มีความเห็นเหมือนเขาเลยเพราะเราเป็นคนแบกรับภาระทั้งหมด เราเป็นคนขวนขวายทั้งหมด ถ้าเราเป็นคนขวนขวายทั้งหมด เราเหนื่อย เราต้องทุ่มเทมาก แล้วอยู่ในบ้านเราก็รู้เห็น รู้เห็นว่าเราทำอยู่คนเดียว แล้วเรียกร้องเราอยู่คนเดียว
ถ้าทำอยู่คนเดียวนะ เพราะอะไร เพราะเราเป็นคนดี เราเป็นคนดี เรามีคุณธรรมในหัวใจ ถ้าเรามีคุณธรรมในหัวใจ เพราะคำถามบอกว่า คำถามที่ ๑. ตัวลูกเองก็รู้ดีว่า คนที่เกิดมาเป็นลูกต้องเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ตั้งแต่เล็กจนโต
เพราะเราเป็นคนดีไง เราเป็นคนดีคนหนึ่ง เราเชื่อฟังในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนไว้แล้ว พระอรหันต์ของลูกๆ ไง พ่อแม่นี้ให้ชีวิตนี้มา พ่อแม่ให้ทุกๆ อย่างมา เราก็ต้องเคารพเชื่อฟัง เราก็เคารพเชื่อฟังอยู่แล้ว ทีนี้การเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ เราก็ทำของเราสิ เราทำของเราแล้วมันมีมาตรฐานน่ะ
มาตรฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เราหาเงินมาได้หนึ่งบาท เราจะใช้ทำธุรกิจการค้าของเราหนึ่งสลึง เราจะใช้เลี้ยงครอบครัวเราหนึ่งสลึง เราจะใช้เลี้ยงพ่อแม่ ดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้องหนึ่งสลึง มีอีกหนึ่งสลึงที่เหลือถึงฝังดินไว้คือค่อยๆ ทำบุญ
นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว เราหาเงินมาได้เท่าไรเราก็ต้องแบ่งส่วนหนึ่ง แบ่งส่วนหนึ่งไว้ให้ธุรกิจการค้ามันหมุนของมันไปได้ ส่วนหนึ่งเราก็เอาไว้ใช้จ่ายในบ้านเรือนของเรา อีกส่วนหนึ่งเราก็ดูแลพ่อแม่ของเรา ดูแลญาติของเรา อีกส่วนหนึ่งเราค่อยไง นี่ไง ฉะนั้น เราก็แบ่งตรงนี้
ในเมื่อเราเชื่อฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ในเมื่อเราเกิดเป็นลูก พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของเรา พ่อแม่ให้ชีวิตเรามา เราก็มีความกตัญญูกตเวที เราก็ทำของเราด้วยความถูกต้องดีงามของเรา ถ้าเราทำความถูกต้องดีงามของเรา เรามีหน้าที่รับผิดชอบอยู่แล้ว ใครจะมาเรียกร้องอะไร
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเขาเรียกร้อง เขาบอกว่าเราต้องดิ้นรนสู้อยู่คนเดียว
ถ้าสู้อยู่คนเดียว เราสู้อยู่คนเดียว เราก็แบ่งอย่างนี้ แล้วมันเป็นเรื่องภายในบ้าน มันเป็นเรื่องภายในบ้านว่าเราจะดูแลพ่อแม่เราอย่างไร เราจะเจือจานเขาอย่างไร แล้วอย่างที่ว่า ถ้าเขาจะเรียกร้องเอา เขาจะสิ่งใดเอา ภาษาเราเลย ภาษาเรานะ เงินอยู่ในกระเป๋าของเรา เราไม่ให้ มันก็อยู่ในกระเป๋าของเรา เราไม่โอนให้ มันจะเอาไปได้อย่างไร อ้าว! เขาจะมาแย่งชิงมาปล้นได้อย่างไร มึงไปปล้นธนาคารนู่น ปล้นธนาคารไม่ใช่ปล้นเงินเรา เราฝากธนาคารไว้
จิตใจเราก็ต้องมั่นคง จิตใจเราต้องหนักแน่นของเรา ถ้าหนักแน่นของเรา เราควรให้เราก็ให้ สิ่งที่ให้นะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสียสละ มันพ่อแม่ของเรา ญาติพี่น้องของเราทำไมเราไม่ดูแล เราดูแลทั้งนั้นน่ะ แต่เราดูแลนะ เราดูแลต้องให้เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา
กรณีนี้ถ้าเราดูแลแล้วเขาไม่เติบโตขึ้นมา ดูสิ คนที่เขามีฐานะนะ เวลาเขาจะดูแลลูกเขา เขาไม่สปอยล์ลูกเขาจนเสียหายนะ เขาจะดูแลลูกเขาแบบให้เขาช่วยตัวเองได้ เขาจะให้เงินเป็นสัปดาห์ ให้เงินแล้วใช้อย่างไร ให้ทำบัญชี ถ้าทำบัญชี หัดให้เด็กมันรู้จักประหยัดรู้จักมัธยัสถ์ ให้เห็นคุณค่าของเงิน
แม้แต่ลูกเขา เวลาเขาจะให้เงินเขายังสอนให้ลูกเขาเป็นคนดีเลย แต่นี่ของเรา เราจะทิ้งเหว ทิ้งไปแล้วไม่รู้จักเต็ม ทิ้งไปแล้วมันเรียกร้องเอาไม่ได้ก็ประชดประชัน แต่มันมีอยู่อันเดียวเท่านั้นแหละ กลัวว่าเขาจะว่าเราไม่เป็นคนดี
ก็เราไปกลัวเขาว่าเราจะไม่เป็นคนดีไง แล้วเราเป็นคนดีหรือไม่ดีมันอยู่ที่เรา เราเป็นคนดีหรือไม่ดีมันอยู่ที่เราอยู่แล้ว ถ้ามันอยู่ที่เรา เราให้อยู่แล้ว เราให้อยู่แล้วถ้ามันถูกต้องดีงาม แม้แต่เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก เรายังอยากจะช่วยเหลือเลย ทำไมเราไม่อยากช่วยเหลือ แต่ถ้าเขาเป็นคนที่ไม่ทำอะไร เขาจะเอาแต่ได้อย่างนี้ เราให้ไปมันเหมือนกับทำให้คนนิสัยไม่ดีไป
กรณีนี้เราเคยพูด เราเคยพูดถึงการทำบุญทิ้งเหว การทำบุญทิ้งเหวนะ เราพูดถึงว่าคนที่ทำแล้วไม่ติดข้อง ไม่ปรารถนา ไม่ต้องการสิ่งใด นั่นน่ะบุญบริสุทธิ์ ทำบุญทิ้งเหว นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มันมีวัยรุ่นมันเขียนถามมาเลยนะ เขียนแย้งมาเลย โอ้โฮ! ถ้าทำบุญทิ้งเหว เราไปทำบุญขอทาน ขอทานมันเป็นคนแบบว่าที่เขาไปขโมยเด็กมาแล้วเขาทำให้เด็กพิการแล้วมาขอทาน แล้วเราไปทำบุญกับคนอย่างนี้เท่ากับเราไปส่งเสริมให้คนทำทุจริตหรือ เขาว่าอย่างนั้นนะ
โอ้โฮ! เราฟังแล้วงงเลยนะ อย่างนั้นน่ะเจอแล้วต้องแจ้งตำรวจเลย ถ้ารู้ว่าเขาไปลักเด็กมาแล้วทำเด็กให้พิการแล้วเอามาขอทาน ไอ้นี่เราไปทำบุญที่ไหน นี่เราไม่ได้ทำบุญ แต่คำว่า “ทำบุญทิ้งเหว” เราทำบุญกับผู้ที่ถูกต้องดีงาม แล้วมันก็ไปคิดไปวิตกวิจารณ์ บุญได้หรือไม่ได้ มันไปวิตกวิจารณ์อย่างนั้นไง ทำบุญทิ้งเหวคือว่าหมายความว่าไม่ให้กิเลสมันมาแทรกแซงในการกระทำของเรา เราทำแล้วให้มันจบ นี่การทำบุญทิ้งเหว
การทำบุญทิ้งเหวคือว่า ใจของเรา เห็นไหมนี่ฉันกำลังจะให้ทาน ไม่เห็นถ่ายรูปสักที ให้ทานเสร็จแล้วจะมีคนสรรเสริญหรือไม่ นี่ทำบุญทิ้งเหวคือเราไม่ปรารถนาอะไร ไม่ต้องทำสิ่งใด เราโยน แหม! จะว่าโยนก็ไม่ถูกนะ เราให้ เราให้ด้วยความเต็มใจ ให้แล้วจบ แล้วกัน ให้แล้วจบ นี่ทำบุญทิ้งเหว
แต่ไอ้ที่ว่าเราไปเห็นขอทาน แล้วขอทานที่เขาทำให้พิการมา เราบอกว่าเราทำอย่างนั้นเท่ากับเราไปส่งเสริมเขา
โอ้โฮ! โง่ได้ขนาดนั้นเนาะ นี่ย้อนกลับมาคำถาม คำถามนี้ เห็นไหม ถ้าพอเวลาที่เขาขอสิ่งใดแล้วเขาไม่ได้ เขาก็หลอกล่อ เขาประชดประชัน เขาขู่เข็ญ
คำว่า “ขู่เข็ญ” เราฟังแล้วมันมีหลายอย่าง หลายอย่างคือว่าพ่อแม่เราอยู่กับเขา ถ้าเขาเอาพ่อแม่มาต่อรอง มันก็ต้องยับยั้งชั่งใจเนาะ ในเมื่อมีพ่อมีแม่ ถ้ามีพ่อมีแม่เป็นคนกลาง ถ้ามีพ่อมีแม่เป็นคนกลาง เขาต้องการให้เราดูแล เราก็ดูแลอยู่ ฉะนั้น มันต้องใช้ปัญญาว่าเราจะโอนอย่างไร เราจะให้พ่อแม่ได้ใช้อย่างไร ถ้าเราคิดนะ เพราะมันอยู่คนละประเทศไง ถ้ากรณีอย่างนี้
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า ลูกไม่เคยร้องเรียกอะไรจากเขา แต่มันสะเทือนใจลึกๆ สิ่งที่เขาไม่มีน้ำใจอะไรกับเราเลย
เขาไม่มีน้ำใจกับเราเลย เวลาคนมันหยาบ เห็นไหม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันมันเป็นอย่างนี้ เขาไม่มีน้ำใจให้เราเลย เขากลับว่าเขามีน้ำใจให้เรามาก เขากลับมองว่าเราไม่มีน้ำใจให้เขาเลย เพราะเขากักตัวพ่อแม่ไว้ไง เขาดูแลพ่อแม่อยู่ แล้วเอ็งออกไปหาข้างนอก เอ็งก็ต้องส่งเข้ามาสิ เอ็งต้องส่งเข้ามาให้เขาอยู่ได้ ให้เขาพอใจได้
ทีนี้การส่งของเรา เขาไม่รู้หรอกว่าคนไปเผชิญโลกมันจะประสบความสำเร็จหรือมันจะไปทุกข์ไปยากอย่างไร แล้วถ้าเรียกร้องกันอย่างนี้นะ ไอ้คนที่แสวงหามาเขาก็ต้องไปทำความผิดกฎหมาย ต้องไปกู้นอกระบบ โอ๋ย! ต้องเอามาให้ มันผูกพันกันไปหมดน่ะ ฉะนั้น เวลาถ้าเป็นอย่างนี้นะ
แต่ถ้าทางบ้านเขามีความจำเป็นจริง ถ้ามีความจำเป็นจริงนะ สิ่งที่เราจะเดือดร้อนขนาดไหน นี่พูดถึงเดือดร้อน คำว่า “พ่อแม่” เราทุ่มเทให้ทั้งนั้นน่ะ แต่มันจะจริงแค่ไหน ฉะนั้น ถ้ามันจริงแค่ไหน
กรณีนี้มันเป็นเรื่องภายในครอบครัว พระ พระอยู่ข้างนอก ทีนี้เพียงแต่ว่าเวลาเขียนมา เราอยากจะพูดถึงว่า มันเป็นรากเหง้า รากเหง้า มันเป็นสังคมหน่วยแรกหน่วยเริ่มต้นในครอบครัว ภายในครอบครัว แล้วภายในครอบครัวมันเป็นปัญหารากเหง้าเลย ปัญหารากเหง้าเพราะอะไร กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ทำไมเราต้องมาเกิดร่วมกัน ทำไมเราเกิดมาแล้วทำไมเราจะมีความเห็นเหมือนกัน คล้ายกัน ดีกัน แล้วปัญหาครอบครัวมันมีมาก มันมีมากนะ แล้วถ้ามันมีมาก เราจะรักษาใจเราอย่างไร ถ้ารักษาใจเราไม่ได้นะ มันดึงให้ต่ำอยู่อย่างนั้นน่ะ
ถ้ามันรักษาใจเราได้ มันเป็นสิทธิของเรา มันเป็นสิทธิของเรา เราเป็นผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่มีปัญญาเขาทำอะไรเขาทำด้วยปัญญาของตน แต่แรงเสียดสีแรงเสียดทาน ไอ้เรื่องโลกธรรม ๘ ติฉินนินทามหาศาลเลย แต่เขาคิดได้อย่างไร เขาจะมองเห็นปัญหานี้ได้อย่างไร แต่ของเรามันต้องมีจุดยืนไง
ถ้ามีจุดยืน เวลาถ้าประพฤติปฏิบัติไป ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปถึงเวลาสิ้นกิเลสไปแล้วเหมือนไม้ ๘ ศอก เสาหลัก ๘ ศอก ปักดินลงไป ๔ ศอก โผล่จากดินมา ๔ ศอก ลมพัดขนาดไหน จะมีพายุกระหน่ำขนาดไหนไม่หวั่นไหว ไม่สั่นสะเทือน ไม่สั่นสะเทือนเพราะอะไร เพราะใจมันมีคุณธรรมในใจของมันไง ใจมันมีหลักมีเกณฑ์ของมันไง คนนอกที่เขาพูดเขาจะรู้ได้อย่างไร
เวลาคนนอกเขาพูด คนนอกเขาติฉินนินทา นั่นน่ะพายุมันพัดกระหน่ำ มันพัดกระหน่ำหลักอันนั้นน่ะ ถ้าหลักอันนั้นมันมีอยู่แล้ว ถ้าเรามีหลักใจของเราแล้ว สิ่งที่มันพัดกระหน่ำมา เราทำของเราถูกต้องดีงามแล้ว แล้วถ้าเราทำถูกต้องดีงามแล้ว สิ่งที่เวลากระแสสังคมติฉินนินทามันเป็นเรื่องของคำพูดของโลก
แล้วปากของคนมันปั้นแต่งได้ทุกเรื่อง มันทำได้ทุกเรื่อง ทำดีแค่ไหนไม่ถูกใจมันก็ว่าผิด ทำให้สูงส่งขนาดไหนไม่ถูกใจมันก็ว่าผิด มันไม่ถูกต้องดีงามกับเขาไปทั้งนั้นน่ะ เพราะจิตใจมันมองคนละมุม จิตใจ ไม่ใช่มองคนละมุม จิตใจมันจะเอา ว่าอย่างนั้นเลย จิตใจน่ะ มึงถมมาสิ มึงถมเข้ามา ถมมึงถึงเป็นคนดี มึงต้องถมมาถึงจะเป็นคนดี ถ้ามึงไม่ถมเข้ามามึงเป็นคนดีไม่ได้ มึงต้องถมเข้ามา
ตัณหาความทะยานอยากนะ มันล้นฝั่งนะ ถมไม่มีวันเต็มหรอก มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราอยากเป็นคนดีในสายตาเขา เราอยากให้เป็นคนดีที่เขาพอใจ เราจะต้องหามาถม ถมขนาดไหน ถมเพราะอะไร เพราะเราติดว่าความเป็นคนดีของเราไง เพราะเราติดว่าเราต้องเป็นคนดี ถ้าเราเป็นคนดีเราต้องถมเข้าไป
คนดีต้องไปถมเขาหรือ คนดีนั่งหลับตา เห็นไหม ดูพระเรานั่งหลับตา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
เขาบอกเลยนะ ญาติโยมทำบุญมหาศาลเลย พระทำอะไร พระไม่เห็นทำอะไรเลย เอาแต่ได้ มีแต่คนมาถวายพระ พระไม่เคยให้ใคร พระมีแต่เอา แล้วพระทำดีตรงไหน
นี่ไง เวลาพระทำดี พระทำดีก็หายใจเข้าหายใจออกนี่ไง พระทำดีก็ทำในหัวใจของพระนี่ไง พระทำดีก็เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนานี่ไง ถ้าทำขึ้นมาแล้ว ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจขึ้นมาไง สิ่งที่ความดีที่ละเอียดๆ
ความดีต้องไปอวดกันที่ใครเสียสละมากเสียสละน้อยอย่างนั้นหรือ
พระนี่เสียสละทั้งชีวิตเลย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นอยู่ในป่า ถ้ามันจะตาย อะไรตายก่อน เขาสละชีวิตเลย แล้วสละชีวิตกับตัวตนของตนนี่ เพราะเราเป็นคนเสียสละเอง เราเป็นคนวิกฤติเอง เราเป็นคนจะตายเอง แล้วเราเป็นคนไม่ตื่นเต้นกับความตายนั้นเอง เราสละชีวิตเราให้มันตายไปเลย เราเป็นคนทำเอง ใครเห็นกับเรา ไม่ต้องไปอวดข้างนอกหรอกว่าจะสละอย่างนู้น จะทำอย่างนี้เพื่อหวังให้เขานับถือว่าเราเป็นคนดี เราไม่ต้องทำอย่างนั้นเลย
นี่พูดถึงมันเป็นปัญหาไง มันเป็นปัญหา ถ้าเราไม่ติดในว่าเขาว่าเราดีหรือไม่ดี แต่มันต้องมีปัญญาไง ปัญญาว่าเราจะช่วยเหลือเขาอย่างไร คนที่มีปัญญา เห็นไหม จิตใจที่สูงกว่าจะดึงจิตใจที่ต่ำกว่าขึ้นมา จิตใจเราสูงกว่า เขาติดข้องอะไร เขาปรารถนาอะไร เราจะพยายามแก้ไขถ้าแก้ไขได้ ถ้าแก้ไขไม่ได้ เป็นกรรมของสัตว์ นี่ไง ถึงเวลาพรหมวิหาร ๔ ถึงที่สุดแล้วอุเบกขา เราช่วยเต็มที่เลย ทำทุกอย่างดีหมดเลย แล้วถ้ามันดีไม่ได้ จบ อุเบกขา จบ ทำแล้ว
คือมันไม่มีใครหรอกที่จะไปเปลี่ยนแปลงจิตใจของคนอื่นน่ะ ไม่มีหรอก มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็มาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดของคนนี่ ความรู้สึกนึกคิดที่มันคิดเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ให้มันทำความสงบของใจ แล้วให้มันมานึกคิดเรื่องธรรม พอเรื่องธรรมมันเป็นมรรค มรรคมันก็ไปขูดไปทำลายกิเลสไง การไปขู่เข็ญไปเข่นฆ่ากิเลสนั่นน่ะ เวลาเกิดมรรคเกิดผล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้
ถ้าสอนแล้วถ้าเกิดเขาต้องมีจิตสำนึก พอเขามีจิตสำนึกแล้วเขาเห็นว่าถูกผิดอย่างไร เขาถึงจะไปเปลี่ยนแปลงตัวเขา ถ้าเขาไปเปลี่ยนตัวเขา เขาก็ต้องไปเปลี่ยนแปลงความคิดเขา แล้วความคิดของเขาก็จะไปขุดคุ้ยไปสำรอกคายกิเลสของเขา นี่ถ้ามันจะเป็น จะเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเราจะไปเปลี่ยนแปลงความคิดเขา เราจะทำให้เขาเป็นคนดี
ดูในหลวงสิ ในหลวงทำโครงการต่างๆ ให้ประชาชนฝึกฝน ให้ประชาชนมีความคิด ให้ประชาชนรู้จักคิด ถ้าเขารู้จักคิด เขารู้จักทำ ถ้าเขาไม่รู้จักคิดแล้วเราไปคิดแทนเขา เอ็งถมเข้าไปเถอะ ถมเข้าไปไม่มีวันจบหรอก แต่ถ้าเราเปลี่ยนแปลงความคิดเขา เราเปลี่ยนแปลงความคิด แล้วเขาเปลี่ยนแปลงความคิดเขา เขาทำอะไรของเขา นั่นล่ะตรงนั้นสำคัญ ถ้ามันสำคัญตรงนั้น มันเป็นอย่างนั้น
นี่พูดถึงว่าถ้ามันเป็นจริตนิสัยนะ เราจะพูดว่ามันเป็นสายบุญสายกรรม ผลของวัฏฏะๆ เวลาพูดถึงผลของวัฏฏะนี้สะเทือนใจ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ นะ ทุกครอบครัวมีปัญหาหมด มากหรือน้อย บอกว่าครอบครัวไม่มีปัญหา เอ็งคุยกับกู กูไม่เชื่อหรอก ครอบครัวไหนบ้างไม่มีปัญหา ไม่มี มากหรือน้อย
แล้วถ้ามันมีมากหรือน้อย ภาษาเรานะ เวรกรรมทำมาไม่รู้ภพชาติใด ภาษาเรานะ เราทำดี เราเป็นคนทำดี แต่เราไม่รู้เลยว่าเราทำดีไปกระเทือนใจคนอื่นนะ เพราะเขามองว่าเขาอยากให้เราเป็นแบบเขา เขาต้องการให้เราเป็นแบบเขานะ
แต่ถ้าวุฒิภาวะของเรามันสูงมันมองว่าสิ่งใดถูกผิด มันแบ่งแยกถูก มันจะลงไปทำความผิดอย่างนั้นไม่ได้ ถ้ามันลงไปทำความผิดอย่างนั้นมันก็ไปขัดใจเขา เห็นไหม เราทำดีนี่แหละ แต่ขัดใจเขาน่าดูเลย ทำไมเอ็งไม่ทำเหมือนกู ทำไมเอ็งไม่ทำเหมือนกู ทั้งๆ ที่เราทำความดีนี่แหละ แต่คนที่จิตใจวุฒิภาวะมันแตกต่างกัน
คำว่า “วุฒิภาวะแตกต่างกัน” คือมุมมองแตกต่างกัน ถ้ามุมมองที่แตกต่างกันมันจะราบรื่นไหม ถ้ามุมมองที่มันแตกต่างกันมันไม่ราบรื่น ทีนี้ถ้ามุมมองที่เราต่ำกว่า เราพยายามพัฒนาของเรา เราพยายามคิดหาเหตุหาผลของเรา ถ้ามันพัฒนาขึ้นมา ถ้ามุมมองมันเหมือนกัน เออ! ใช่เนาะ คิดอย่างนี้ถูก ถ้ามันยังพัฒนาไม่ได้นะ ก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเพราะอะไร เพราะกรรมของสัตว์ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันมันเป็นอย่างนี้ มันกรรมของสัตว์ มันเป็นมุมมอง มันเป็นทิฏฐิมานะของใจที่มันแตกต่างกัน
ขนาดว่ามุมมองเหมือนกันนะ เวลาภาวนา จริตนิสัย เราถึงเคารพบูชาหลวงปู่มั่น เราถึงเคารพบูชาหลวงตาไง เพราะเราอยู่กับหลวงตานะ เวลาพูดกับพระองค์อื่น อู้ฮู! พูดอ่อนหวาน เราอยู่ด้วยกันนั่นแหละ อยู่ใกล้ๆ กัน พอหันมาใส่เรา เปรี้ยงๆ
คิดในใจนะ อยู่วัดคิดเลยนะ โอ้โฮ! ทำไมพูดกับพระองค์นั้นดี๊ดี ทำไมหันมาหากู โอ้โฮ! อย่างกับฟ้าผ่า ทุกทีเลยๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ โอ้โฮ! กลางศาลานี่โดนด่าวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ท่านสอนเราด้วยวิธีนี้ แต่ถ้าเป็นองค์อื่นนะ อู้ฮู! พูดหวานเจี๊ยบเลยนะ เรายืนอยู่ข้างกันน่ะ พูดกับพระองค์นี้ อยู่ด้วยกันน่ะ อู้ฮู! พูดดี๊ดีนะ แล้วยืนอยู่ด้วยกัน พอหันหน้ามาหาเรานี่เปรี้ยงเลย
อะไรวะ นี่มันอะไรเนี่ย ตอนนั้นนะ ตอนนั้นคิดอย่างนี้จริงๆ แล้วก็แปลกใจ แปลกใจเพราะอะไร เพราะเราเป็นคนรับไง ท่านคนกลางใช่ไหม แล้วพระหลายองค์ ท่านพูดกับพระองค์อื่น อู้ฮู! พูดดี๊ดี แล้วพอหันหน้ามาหาเรา ทำไมไม่พูดอย่างนั้นบ้างล่ะ ทำไมเปรี้ยงๆ ขนาดนี้ล่ะ
แล้วพอตอนนี้เราถึงว่า คำว่า “เคารพ” นิสัยคนไม่เหมือนกัน ไอ้พระองค์นั้นเขานุ่มนวล เขาลูกผู้ดี ต้องพูดกับเขาดีๆ ไอ้อย่างเรามันเจ๊กน่ะ มันต้องถึงน้ำถึงเนื้อ เปรี้ยงๆ เลย เราจะบอกว่า คนจริตนิสัยไม่เหมือนกัน แล้วครูบาอาจารย์พ่อแม่เราท่านจะรู้ว่าคนไหนเป็นอย่างไร ท่านทำอย่างนั้นน่ะ ทีนี้ทำอย่างนั้น
ทีนี้พูดถึงย้อนกลับมานี่ไง คำถามเขาว่าเขาน้อยใจมาก ลึกๆ สะเทือนใจมาก
ถ้าเขาสะเทือนใจมาก มันเป็นเรื่องภายใน นี่กรรมของสัตว์ เราเกิดมาร่วมกัน การเกิดมาร่วมกันต้องมีเวรมีกรรมต่อกัน เราเคยได้เบียดเบียนเขาไว้บ้างหรือเปล่า ถ้าเราเคยได้เบียดเบียนเขาตั้งแต่ภพชาติใดก็ไม่รู้ แต่ในปัจจุบันนี้ด้วยความที่เราเคารพรักพ่อแม่ของเรา เขาก็เริ่มเบียดเบียนเราไง เขาเบียดเบียนเรา
ทีนี้คำว่า “เบียดเบียน” มันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมใช่ไหม แต่ถ้าเรามีสติปัญญา กรณีอย่างนี้เราก็แก้ไขของเราด้วยสติด้วยปัญญาสิ ด้วยสติด้วยปัญญา จะให้เขาคิดเหมือนเราหรือเราคิดเหมือนเขาเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าเราจะต้องมีคุณธรรม คือว่าเราต้องมีคุณธรรมคือว่ามีสติมีปัญญา อย่าวู่วาม อย่าทำอะไรให้มันเสียหาย เพียงแต่เราจะแก้ไขปัญหาอย่างใด เราต้องแก้ไข
เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงเรื่องปัญญาไง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ถ้าเรามีปัญญาต้องมีสติด้วยนะ ไม่ใช่มีปัญญาคิดว่ากูนี่ไบรต์ กูจะแก้ ไม่มีทางหรอก ก็อย่างนี้ ถ้าจะแก้ เขาก็ขุดหลุมพรางไว้เลย ถมเข้ามา อยากเป็นคนดี ถมเข้ามาเลย แล้วจะจบไหม ไม่จบหรอก
เราต้องใช้สติปัญญาแก้ไข ถ้าสติปัญญาแก้ไข เราก็ทำความดีของเรา อย่างที่พูดนี่ เอามาตรฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หาเงินได้หนึ่งบาท เก็บไว้หนึ่งสลึงไว้ทำกินต่อไป หนึ่งสลึงไว้ใช้จ่ายในครอบครัวของเรา อีกหนึ่งสลึงเลี้ยงดูพ่อแม่ดูแลญาติของเรา อีกหนึ่งสลึงเราจะฝังดินไว้หรือจะเอาไปทำอย่างอื่นแล้วแต่ที่ว่าเราจะมีสติปัญญา เรามีสติปัญญาของเราอย่างนี้ เรามีความจำเป็นอย่างนี้ เราไม่ใช่ว่าเราจะมีถมไม่มีวันจบ ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วเขาจะเรียกร้องเอาอย่างไรก็อย่างนั้นน่ะ
แล้วเวลาเขาพูด เห็นไหม ฉะนั้น ที่เวลาเขาบอกเลยนะ สิ่งที่เขาว่า พวกเขาจะปฏิเสธรับฟังสิ่งอื่นทั้งสิ้น ถ้าไม่ให้ก็ไม่ต้องมาเทศน์ ไม่ต้องมาพล่าม
ไม่ต้องมาเทศน์นะ ไม่ต้องมาสอน เขาไม่รับฟังน่ะ เขาว่าไม่ต้องมาสอน เพราะอะไร เพราะเขาถือว่าเขาเหนือกว่า เขาดีกว่า ไอ้นี่เป็นทิฏฐินะ แต่เวลาคนถ้ามันเติบโตขึ้นมานะ ต่างคนต่างมีครอบครัวไป ต่างคนต่างต้องรับผิดชอบไป ถ้าคนมันคิดได้ข้างหน้ามันก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเขาคิดไม่ได้มันก็กรรมของสัตว์
นี่ผลของวัฏฏะ มันเป็นผลของรากเหง้า ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นจากผลของวัฏฏะไง เราไม่รู้เบียดเบียนเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ในชาติปัจจุบันนี้เราเป็นคนรับผิดชอบอยู่คนเดียว รับผิดชอบหมดเลย แล้วเขาจะเรียกร้องเอาอย่างไร แล้วถ้าไม่ได้ก็ อู้ฮู! คำว่า “ประชดประชัน ทั้งหลอกทั้งล่อ”
จริงๆ เราก็เห็นอย่างนั้นมาจริงๆ นะ เราเห็นมาเยอะ แล้วปัญหาครอบครัวมันมีทุกบ้าน แล้วอย่างบางทีขณะที่ว่าเราประสบการณ์น้อยคือเรายังเป็นวัยรุ่นอยู่ เรายังอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่ เราก็ได้กระทำสิ่งที่ไม่ดีๆ ไว้เยอะ แล้วพอเราโตขึ้นมาเราก็เสียใจใช่ไหม เราก็ไม่ควรทำอย่างนั้น นี่พูดถึงปัญหาในบ้านในเรือนของเราไง
ในครอบครัวของเรา ใครทำสิ่งใดไว้ กระทบกระเทือนสิ่งใดแล้ว ถ้าทำแล้วมันก็เสียใจทั้งนั้นน่ะ เพราะตอนนั้นมัน หนึ่ง ได้ข้อมูลที่ผิด ความเห็นของเรามันมีมุมมองขนาดนั้น แล้วทำสิ่งใดไปมันเป็นเวรเป็นกรรมทั้งนั้นน่ะ ถ้าเป็นเวรกรรม ผลของวัฏฏะๆ ไง ผลของวัฏฏะ เราให้อภัยทั้งนั้นน่ะ เราให้อภัยนะ แต่ต้องมีสติปัญญา ต้องมีสติปัญญา ไม่ใช่ว่าเราให้อภัยแล้วเราจะเป็นเหยื่อ เราจะต้องยอมให้เขาบีฑาอยู่อย่างนั้น
คำว่า “บีฑา” มันก็กรรมจริงๆ นะ เราเห็นมาเยอะ ยอมอยู่อย่างนั้นน่ะ จนวันไหนถึงที่ว่าเขาคิดได้นะ เฮ้อ! แค่นี้แหละ เฮ้อ! พอกันที จบเลย ถ้ายังไม่เฮ้อ! ก็ต้องบีฑาไปอย่างนั้น นี่ผลของวัฏฏะ คำว่า “ผลของวัฏฏะ” คือผลของเวรของกรรม
แล้วถ้าเราเกิดมา บางบ้านเกิดมา โอ้โฮ! อบอุ่น พ่อแม่ดีมาก พี่น้องรักกัน ดูแลกัน เกื้อกูลต่อกัน เราเห็นนะ เวลาไปไหนนะ เวลาพี่น้องเขา พี่จะเอาอะไร น้องจะเอาอะไร เราเห็นแล้วเราชมนะ ไปด้วยกัน พี่ๆ น้องๆ เขาจะดูแลกันนะ คอยดูแล คอยอะไรกัน เป็นห่วงเป็นใยต่อกัน อืม! น้ำใจนี่สำคัญมากนะ แล้วมันอบอุ่น มีอะไรก็ได้ บางครอบครัวจะพูดอย่างนี้ประจำ ปรึกษาได้ทุกเรื่อง ในครอบครัวคุยกันได้หมดนี่หาได้ยาก บางอย่างมันไม่ได้ มันจะนั่นไป ไอ้นี่มันเป็นผลของวัฏฏะนะ
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า เขาบอกไม่ต้องมาเทศน์ ไม่ต้องมาทวงบุญคุณนะ อันนี้เขาพูดอย่างหนึ่ง แต่พูดถึงว่าสิ่งที่เขาเคยเป็นทุกข์เป็นยาก เดี๋ยวนี้เขาทำใจได้ดีขึ้น ถ้าทำใจได้ดีขึ้นแล้ว สิ่งที่เขาว่านะ “สักวันข้างหน้า ถ้าเราไม่สามารถทำให้พวกเขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เรานั้นจะเป็นคนไม่ดีใช่ไหม”
ถ้าทำอย่างที่เขาต้องการ ภาษาเราเลย ในชีวิตเรามันยังอนิจจังเลย เมื่อไหร่เราจะหมดชีวิตนี้ไป แล้วชีวิตของเรา เราจะยืนยาวไป เราจะดูแลเขาไปจนถึงที่สุดเลยหรือ ไม่รู้ว่าใครจะไปก่อนใครไง ถ้าไม่รู้ว่าใครจะไปก่อนใคร ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เรายังทำสิ่งใดได้ เราก็ทำความดีของเราไปเรื่อยๆ แล้วถ้าถึงวันนั้นมันจบแล้วก็คือจบ แล้วถ้าถึงเวลาจบ เวลาเขาจบแล้ว ถ้ามันพลัดพรากกันไปแล้วเขาจะคิดถึงเราได้ คิดถึงมันก็เรื่องของเขา
มันเป็นที่ว่ามันเป็นการจินตนาการของเขาไง มันเป็นจินตนาการของเขาว่า เรานี่ประสบความสำเร็จมาก เรามีทรัพย์สมบัติมาก เราจะต้องช่วยเหลือเขาไว้มาก นี่เขาคิดของเขาอย่างนั้น ถ้าเขาคิดของเขาไว้อย่างนั้นน่ะ มันเป็นละครน่ะ ละครทีวี ในละครจะต้องเป็นอย่างนั้นตลอดไป ไอ้นี่ชีวิตจริงนะ แต่ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร แต่นี่พูดภาษาเรา
แต่มันดีอย่างหนึ่งเท่านั้นน่ะ เขาบอกว่าดีอย่างหนึ่งว่าเริ่มทำใจได้แล้วไง เริ่มทำใจได้แล้ว ไม่เดือดร้อนจนเกินไป เพราะเริ่มทำใจได้แล้วถึงได้เขียนมาถาม
ฉะนั้น เวลาเขียนมาถาม พอเขียนมาถาม เราก็มีความรู้สึกนะ พอเขียนมาถาม เพราะผู้ถามต้องแบกรับภาระอย่างนี้ แล้วเวลาถามเรื่องปฏิบัติมา มันว่างๆ อย่างนั้นใช่ไหม
คนเรานะ ถ้าลองมีภาระต้องรับผิดชอบขนาดนี้ พอมีความรับผิดชอบขนาดนี้แล้วนะ แล้วมันยังหน้าที่การงานของเราอีกล่ะ พอหน้าที่การงานแล้ว เขาอยู่เมืองนอก แล้วเวลาไปหาพระ คนเวลามันทุกข์อย่างนี้ไปหาพระนะ พระจะบอกว่า ทำบุญอย่างนี้จะแก้กรรมอย่างนั้น ทำบุญอย่างนี้จะแก้กรรมอย่างนี้
ไม่จริงหรอก ฉะนั้น พอไม่จริงแล้ว ไปฟังพระสิ่งใดมาก็วางไว้ แล้วนี่ดีอย่างหนึ่งเพราะมันมีเว็บไซต์ เขาเลยเขียนมาถาม ถ้าเขียนมาถาม พอเขียนมาถามแล้ว เวลาที่บอกว่า ภาวนาไปแล้วจะมีปัญหาอย่างนั้น
ภาวนา เวลาภาวนา เราจะเอาชนะใจตัวเราเอง แต่เวลาชนะใจตัวเราเอง แต่ใจเรามันต้องมีภาระรับผิดชอบอะไรมากๆ ไปอย่างนี้ มันก็ต้องแบกรับภาระ ถ้าแบกรับภาระ เวลาภาวนาแล้ววางให้หมด เราจะไปคิดเอาตอนที่เราจะส่งเงินให้เขา เราจะส่งเงินให้เขาค่อยมาคิดว่าจะส่งอย่างไรดี ไปคิดแก้ปัญหาตอนนั้น แต่ตอนที่เรายังไม่ส่งเงินให้เขา เราวางให้หมดเลย แล้วมาพุทโธดีกว่า เรามาพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ทำใจให้เราพัก ถ้าใจเราพักแล้วเราจะย้อนกลับมาที่นี่
ถ้าใจเราพักแล้วนะ ถ้าใจเราพัก หนึ่ง มันไม่น้อยใจในชีวิต มันไม่น้อยใจในชีวิตนะ คนเราถ้าน้อยใจในชีวิตทำอะไรมันก็ล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้นน่ะ ที่เราไม่น้อยใจในชีวิต อย่างที่เราพูดนี่ เราเคยเบียดเบียนเขาไว้ตั้งแต่ภพชาติใดก็ไม่รู้ แล้วชาติปัจจุบันนี้มันมีการเบียดเบียนกันอย่างนี้ ถ้ามีการเบียดเบียนกันอย่างนี้ เพราะมันอยู่ใน เห็นไหม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน นี่ธรรมะจัดสรร กรรมจัดสรร
เรามาเกิดเป็นพี่เป็นน้องกัน เรามาเกิดเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่กัน เรามาเกิดน่ะ ธรรมะมันจัดสรรมาอย่างนี้ ถ้ามันจัดสรร เรามาอยู่ในสถานะตรงนี้ พอมาอยู่สถานะตรงนี้ปั๊บ พออยู่สถานะตรงนี้ปั๊บ เราก็คิดว่าเราไม่อยากได้สถานะนี้ เราอยากได้สถานะเป็นลูกโปรด พ่อแม่ที่ดี พี่น้องที่เป็นเทวดา เราอยากได้สถานะคนรอบข้างเป็นคนดีหมด เป็นเทวดาหมดเลย ใครๆ ก็ปรารถนาสถานะแบบนี้ แต่เวลากรรมจัดสรร กรรมมันจัดสรรมา ถ้ากรรมจัดสรรมา
นี่พูดถึงว่า เราจะแก้ไขเมื่อตอนจะโอนเงิน ถ้าตอนจะไม่โอนเงินปั๊บ เราก็ใช้สติปัญญาอย่างนี้ ถ้าใช้สติปัญญาอย่างนี้ปั๊บ โฮ้! มันเบานะ มันไม่ต้องไปทุกข์ไปมากขนาดนั้น แล้วถ้าจะภาวนานี้ก็ภาวนา แล้วภาวนาไปแล้ว
นี่เขาถามปัญหามาเยอะ เมื่อก่อนเขียนมาจนเอ็ด เอ็ดแล้วเอ็ดอีก วันนี้เขียนมาถึงว่า อ๋อ! มันมีปัญหาเบื้องหลังอย่างนี้ด้วย มันก็เลยทำให้ชีวิตนี่ แหม! มันทุกข์ยากเนาะ แต่ก็ได้เขียนปัญหามาถามเยอะ แล้วก็ได้เป็นลูกศิษย์เป็นอาจารย์กัน ฉะนั้น เป็นลูกศิษย์เป็นอาจารย์กัน นี่ผลของวัฏฏะ ชีวิตมันเป็นแบบนี้
เราใช้คำว่า “ผลของวัฏฏะๆ” นะ เพราะในพระไตรปิฎกก็มี ผลของวัฏฏะ เพราะคนมันต้องเกิด แล้วเรานี่อวิชชามืดบอด มันเกิดอย่างไรก็ไม่รู้ มันสะเปะสะปะมาอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วมีธรรมะของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านแหวกว่ายมาก่อน ท่านเห็น ท่านบอกว่ากิเลสของคนร้ายนัก กิเลสของคนร้ายนัก แล้วตอนนี้กิเลสมันอยู่ในใจของญาติพี่น้อง แล้วเขาก็ย่ำยีเราอยู่นี่ นี่กิเลสมันร้ายนัก ย่ำยีในใจของเขาแล้วยังมาทำลายเราอีกนะ กระทบกระเทือนมาถึงเราอีกนะ แล้วกิเลสเราล่ะ ถ้ากิเลสของเรา เราก็พยายามจะดูแลกิเลสเรา เราก็มาฝึกหัดภาวนานี่ไง เราก็มาทำเพื่อคุณงามความดีของเราไง
ฉะนั้น เขาบอกว่า ถ้าแบบว่าเขาได้ดีขึ้น แล้วตอนนี้เขาเริ่มตั้งครรภ์
ก็ดูแลครอบครัวของตน ต่อไปนี้เราก็ต้องบอกเขาแล้วว่าเราก็จะมีทายาท เราก็จะมีอะไรของเรา ภาระรับผิดชอบของเราก็ต้องมากขึ้น แล้วอย่างที่ว่านะ เอามาตรฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หาเงินได้หนึ่งบาท เราต้องใช้ทำประกอบธุรกิจเราหนึ่งสลึง แล้วถ้าเราใช้จ่ายในครอบครัวของเราหนึ่งสลึง แล้วอีกหนึ่งสลึงเราถึงดูแลพ่อแม่พี่น้อง แล้วอีกหนึ่งสลึงเราจะฝังดินหรือไม่ฝังดิน เอามาดูแลพี่น้องก็ได้ เอามาทำอะไรก็ได้
เราต้องใช้สติปัญญาทำครอบครัวเราให้มั่นคง ทำชีวิตของเราให้มั่นคง แล้วมาฝึกหัดหัวใจของเราให้พ้นจากวัฏฏะเสียที ให้ไม่มาเจอหน้าใครแล้ว พ้นกันเสียที ไม่ต้องมาพบหน้ากันอีกเลย ถ้าเราทำได้ ให้เป็นอย่างนั้น
นี่พูดถึงว่า ถ้าทำไม่ได้ เขาเขียนว่าถ้าทำไม่ได้เนาะ ถ้าเราทำไม่ได้ เขาก็ย่ำยีเรา ถ้าเราทำให้เขาได้ เขาก็พอใจ ถ้าเราทำให้เขาไม่ได้ เขาก็ย่ำยี ทั้งๆ ที่ว่ามันน่าสะเทือนใจว่า ทั้งๆ ที่ว่าเป็นคนในบ้านเดียวกันหมดนะ จบ
ถาม : เรื่อง “อาการจิตเสื่อมมีอาการเป็นแบบไหน”
ตามที่ลูกได้ฝึกปฏิบัติมาประมาณหนึ่งปีแล้ว ลูกสงสัยมาตลอดว่าจิตเสื่อม เวลาเราเป็นมันมีอาการเป็นแบบไหนบ้าง ถ้าเป็นแล้วจะแก้จิตเสื่อมที่ถูกต้องแบบไหนครับ กราบขอบพระคุณอย่างสูง
ตอบ : ไอ้นี่พูดภาษาเรานะ ผมปฏิบัติมาหนึ่งปี จิตเสื่อมเป็นแบบใดบ้าง ผมไม่เคยรู้เลยว่าจิตเสื่อมเป็นอย่างไร
แต่ถ้าความเห็นเรานะ มันเจริญแล้วเสื่อมมาหลายรอบแล้วตัวเองไม่รู้ เวลาถามน่ะ จิตเสื่อมมันเป็นอย่างไร ผมไม่เคยรู้เลย แต่ผมปฏิบัติมาหนึ่งปีแสดงว่ามันเสื่อมหมดเลย มันเสื่อมมาหลายทีแล้ว
จิตเสื่อม หมายความว่า ถ้าเราทำสมาธิได้ เราทำจิตของเราดีขึ้นมาแล้วมันคลายตัวลงมาจนมันเสื่อมหมดไป พอมันเสื่อมหมดไปมันจะมีอาการเร่าร้อน
เวลามาประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ เรามาด้วยความทุกข์ความยาก เรามาเพื่อดับไฟในใจของตนใช่ไหม เราก็พยายามกำหนดพุทโธ เราพยายามกำหนดอานาปานสติให้หัวใจของเรามันเปลี่ยนอารมณ์ที่มันเร่าร้อนให้เปลี่ยนไปอยู่กับอานาปานสติ เปลี่ยนไปอยู่กับพุทโธ
พุทโธเป็นคำบริกรรม พุทธานุสติไง มีสติอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าเรามีสติปัญญาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีสติปัญญาเอาจิตเราไปอยู่กับอานาปานสติ ถ้ามันเป็นคำบริกรรม เป็นที่อาศัย ถ้ามันเป็นที่อาศัย มันก็เบาบางลง พอเบาบางลง มันก็เบาบางจากทุกข์ ถ้ามันเบาบางจากทุกข์ เห็นไหม
ภาวนาแล้วได้อะไร ไม่เห็นได้อะไรเลยภาวนาแล้ว แต่ชีวิตมันก็ไม่มีปัญหาเนาะ แต่ถ้าไม่ได้ภาวนาเลยล่ะ โอ๋ย! ไม่ภาวนาเลยมันจะคลั่ง...นี่มันก็ได้แล้วไง ได้ที่ไม่ได้อาการคลั่งไง มันเกือบคลั่งอยู่แล้ว เกือบหลุดอยู่แล้ว แล้วเราภาวนานี่
นี่ไง บอกไม่ได้อะไรเลย ได้ ได้ชีวิตนี้ไง ได้ชีวิตนี้ที่ไม่ให้มันทุกข์มันยากเกินไป ได้ชีวิตนี้ไม่ให้มันสมบุกสมบันอยู่กับเขาไง ได้ชีวิตนี้มาเป็นอิสระไง
แต่ถ้ามันยังไม่ได้สมาธิ สมาธิมันยังไม่ได้ ก็ความเพียรเรายังไม่พอไง ถ้าความเพียรเราพอ ถ้าจิตมันเป็นสมาธิ เป็นสมาธิจนมันรักษาสมาธิได้ โอ้โฮ! สุขสบาย จิตว่าง มองเห็นโลก เออ! พวกนี้โง่มากเลย ไม่ภาวนาเหมือนเรา เวลาจิตมันดีนะ จิตมันดีมันมองคนอื่น อู้ฮู! พวกนี้ไม่ภาวนา พวกนี้ไม่เก่งเหมือนเรา เวลาจิตมันดีนะ พอมันเสื่อมตูม โอ้โฮ! มันจะไปหาเขาแล้ว เออ! สมัครทำงานด้วยคน อยากไปทำงานกับเขา นี่ถ้าจิตเสื่อมเป็นแบบนี้
จิต เพราะจิตมันพัฒนาขึ้น ถ้ามันดีขึ้น มันดีขึ้น โอ้โฮ! มันดีมากๆ เดินไปไหนนะ มันเบาไปหมดนะ เวลามันเสื่อมนี่มันร้อนน่ะ เวลาจิตเสื่อมนี่มันร้อนนะ คำว่า “มันร้อน” หมายความว่ามันหงุดหงิด คนเรามันเคยสบาย คนเรามันเคยอยู่กับอารมณ์เดียว แล้วพอมันมาฟุ้งซ่าน นี่มันเสื่อม
จิตเสื่อมเป็นอย่างไร
เดี๋ยวเอ็งเสื่อมก็รู้ เวลาจิตเสื่อมนี่มันร้อน มันหงุดหงิด มันอยู่ไม่ได้ นั่งภาวนาไม่ได้เลยนะ บางคนเคยภาวนาได้หลายๆ ชั่วโมงเลย พอจิตมันเสื่อมแล้วนั่งลงไม่ได้เลย โอ้โฮ! มันยิ่งกว่าไปขังคุกอีก มันไม่ยอม เวลาจิตมันเสื่อมมันไม่ยอมทำ
เหมือนเราน่ะ เหมือนเราเคยทำงานแล้วอยู่ดีๆ นิสัยเสียไม่ยอมทำอะไรเลย เกเรไง คนเกเรมันไม่ทำงานนะ ถ้าลูกที่ดีนะ อยู่กับพ่อแม่ อู้ฮู! เด็กดีหมดเลย เวลามันไปเจอเพื่อน เพื่อนพาไปใจแตกกลับมามันเป็นคนเสียคนไปเลย
จิตเหมือนกัน จิตเวลามันดีนะ โอ้โฮ! มันดีมากๆ เวลาไม่ดีก็ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีนะเพราะมันยังไม่รู้ แต่พอภาวนาไปๆ ถ้ามันดีขึ้น ถ้ามันดีขึ้นนะ แล้วพอมันคลาย มันต่อต้าน นั่นแหละจิตเสื่อม นี่เวลาจิตเสื่อม
แล้วถ้าจิตมันเสื่อม เสื่อมอย่างไร
จิตเวลามันเสื่อมนะ มันต้องมีขึ้นมาก่อน มีสมาธิมันถึงเสื่อมจากสมาธิ ถ้ามีปัญญาแล้วเสื่อมจากทรามปัญญา มีแล้วเสื่อม ถ้ามันไม่มี เอาอะไรเสื่อม จิตมันไม่เคยพัฒนา จิตไม่เคยเข้าสมาธิ บอกว่างๆ คืออารมณ์ว่าง คือสร้างอารมณ์กันเอง ไม่อย่างนั้นมันไม่มีเจริญแล้วไม่มีเสื่อม มันก็ไม่รู้ไงว่าจิตเสื่อมเป็นอย่างไร
แต่คนถ้ามีแล้วเสื่อมสิ โอ้โฮ! มีแล้วเสื่อมนะ ดูสิ กรณีอย่างนี้หลวงตาท่านพูดเป็นคติเป็นตัวอย่าง ท่านภาวนาพรรษาแรก อู้ฮู! กำหนดอย่างไรก็ได้ กำหนดอย่างไรก็ดี แต่เพราะจะออกวิเวกจะออกภาวนานะ มีความจำเป็นต้องไปทำกลดหลังหนึ่ง ไปทำกลดหลังนั้นน่ะ พอจะเข้าสมาธิเข้าไม่ได้เลย ท่านบอกนั่นน่ะจิตเสื่อม พอมันเสื่อมแล้วมันร้อน โอ๋ย! ร้อนมาก พอร้อนมากไปไหนไม่ได้ก็ไปหาหลวงปู่มั่นไง
หลวงปู่มั่นท่านถึงเอามาสอนไง อ๋อ! จิตนี้เหมือนเด็กๆ เนาะ มันไปเที่ยวเล่น ถ้าเด็กๆ มันต้องมีอาหาร มันต้องกินอาหาร ฉะนั้น ให้พุทโธๆ ไว้เนาะ เราหาอาหารเผื่อไว้ กองอาหารไว้ เดี๋ยวถ้ามันหิวมันต้องกลับมากินเอง
ถ้ามันอธิบายเรื่องมากเข้าไปมันยิ่งงงไง คนที่ภาวนาใหม่ๆ นะ ถ้าอธิบายเหตุผลเยอะมากมันจะฟุ้งซ่านไปมาก ท่านอธิบายอย่างนี้ แล้วหลวงตาท่านก็เชื่อมั่นของท่าน ท่านก็กำหนดพุทโธๆๆ ๓-๔ วันแรกอกแทบแตก เพราะมันเสื่อม มันเสื่อมหมายความว่ามันเคยตัว มันสบาย มันปล่อยแบบคนเร่ร่อนน่ะ มันปล่อยแบบคนอนาถาไม่รับผิดชอบอะไร สบาย แล้วพอจะตั้งกติกาขึ้นมา โอ้โฮ! มันร้อน ๓ วันแรกอกแทบระเบิด ท่านพูดประจำ
คือต้องบังคับกันจริงๆ ต้องบังคับกันแบบจริงๆ ต้องบังคับกันแบบรุนแรง ต้องตั้งสติจริงๆ มันไม่ยอม มันดิ้นน่ะ มันพุทโธไม่ได้เลย พุทโธๆๆ โอ้โฮ! ภาษาเรานะ จะรากเลือด แต่พอสัก ๓ วันไปแล้ว อ๋อ! ค่อยยังชั่วหน่อย
พอ ๓ วันไปแล้ว เห็นไหม เด็กที่มันไม่เคยทำหรือมันไม่ยอมทำ บังคับให้มันทำ พอมันทำได้แล้ว ดีขึ้นมาแล้วนะ ท่านบอก โอ้โฮ! สมาธิมันก็กลับมา แล้วท่านพูดเลย พอผ่านไปแล้วนะ ย้อนกลับไปที่หลวงปู่มั่นสอน ท่านบอก โอ้โฮ! สอนเหมือนเด็กๆ มันก็เด็กๆ จริงๆ น่ะ ก็มันเจริญแล้วเสื่อม ก็เพิ่งทำสมาธิแล้วมันเสื่อม เริ่มต้นเป็นแบบนี้ไง เหมือนสอนเหมือนเด็กๆ ก็เด็กๆ เด็กๆ มันยังไม่รู้จักว่าเด็กๆ แต่มันโตแล้วมันถึงจะรู้ไง
อย่างพวกเรา เราโตมาแล้วใช่ไหม เราถึงย้อนกลับไป ตอนเด็กๆ ทำอะไรบ้าง อายนะ ตอนเด็กๆ ทำอะไรผิดบ้าง เออ! ไม่น่าทำเลย แหม! แต่ตอนนั้นรู้ไหม ไม่รู้หรอก วัยอย่างนั้นไม่รู้เรื่อง แต่พอโตขึ้นมาแล้วรู้ นี่ก็เหมือนกัน เจริญแล้วเสื่อมๆ ไง
นี่เขาถามเอง “ตามที่ลูกได้ปฏิบัติมาหนึ่งปีแล้วลูกสงสัยตลอดเวลาว่าจิตเสื่อมเวลามันเป็นมันมีอาการเป็นแบบไหน ถ้ามันเป็นแล้วจะแก้จิตเสื่อมที่ถูกต้องแบบไหนได้ครับ”
ถ้ามันเสื่อมแล้ว ส่วนใหญ่แล้วจิตเสื่อมมันไม่รู้ตัวว่าเสื่อม คนเราเวลาผิดมันไม่ยอมรับว่าผิด แต่ถ้าใครรู้ว่าจิตเสื่อมแล้ว แล้วจะแก้ เห็นไหม ถ้าจิตเสื่อมแล้วเวลาเราจะเอาคืนมา อดนอนผ่อนอาหารนี่ตัวสำคัญเลย อดนอนผ่อนอาหารคือว่าไปผ่อนกำลังของกิเลสไม่ให้มันแรงเกินไป ธาตุขันธ์มันทับจิต
อดนอนผ่อนอาหาร เราไปมองว่าอดนอนผ่อนอาหารเราทุกข์ อดนอนผ่อนอาหารทำให้ร่างกายเราบอบช้ำ ใช่ มันก็มีบ้าง แต่ถ้าเรายังใช้ชีวิตปกติ กิเลสมันก็ได้รับการบำรุง ได้รับกำลังบำรุงจากการอยู่การกินของเรา การนอนหลับสบายของเรา กิเลสมันก็ได้รับพักผ่อนของมันไปด้วยไง แต่ถ้าเราอดนอนผ่อนอาหาร มันบอบช้ำไหม บอบช้ำ แต่กิเลสก็บอบช้ำด้วย กิเลสมันก็ทอนกำลังมันด้วย แล้วเราก็จริงจังกับมันขึ้นไป
นี่พูดถึงว่า ถ้าจิตเสื่อมแล้วจะแก้แบบไหน
จะแก้แบบไหนมันก็ต้องอยู่ที่จริตของคน นิสัยของคน ถ้านิสัยของคนที่มันเชื่อง่าย นิสัยของคนมันมีปัญญาหน่อย ใช้ปัญญามันก็จะพอแก้ไขได้ ให้ใช้ปัญญาว่า ตอนนี้จิตเราเสื่อมหมดแล้วนะ ตอนนี้เราภาวนาเลวร้ายแล้วนะ ตอนนี้ภาวนาเราไม่ใช่ดีเหมือนเก่าแล้วนะ นี่ถ้ามันมีปัญญาอย่างนี้ อาการยอมรับว่าจิตเสื่อม แล้วพอจิตเสื่อมแล้วค่อยแก้ได้
แต่ส่วนใหญ่แล้วมันบอกไม่เสื่อมไง แต่มันบอกว่า โอ้โฮ! เมื่อก่อนภาวนาไม่ดีเลย ภาวนาลำบากมาก เดี๋ยวนี้ภาวนาดี๊ดี ไม่ต้องทำอะไรเลย
มันเสื่อมไปแล้ว มันไม่ต้องทำอะไรเลย มันบอกว่าเดี๋ยวนี้จิตดี๊ดี มันจะหลุดอยู่แล้ว มันกำลังจะเข้าโรงพยาบาลอยู่แล้วมันยังบอกจิตมันดี๊ดี เพราะมันไม่ยอมรับคำว่า “จิตเสื่อม” ถ้าจิตมันยังไม่รู้ไง
แต่ถ้ารู้แล้วแก้ไขได้ แก้ไขๆ ไป แล้วเวลาแก้ไข ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงนะ ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงส่วนใหญ่แล้วจะมีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ ท่านจะรู้ แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่ไม่เป็นจริงมันเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นการจดจำ มันไม่มีเจริญขึ้นและไม่มีเสื่อมหรอก ถ้ามันไม่มีการเจริญขึ้นและไม่มีเสื่อม มันก็ไม่รู้อะไรเจริญอะไรเสื่อม เพราะมันไม่เคยเป็นไง
แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาแล้วนะ ท่านจะรู้ว่ามันเคยดีแล้วเคยหมดตัว เหมือนคนเรา คนเคยมีเศรษฐี เคยหมดตัว เคยสร้างตัวใหม่ คือล้มลุกคลุกคลานน่ะ คือเราสร้างเนื้อสร้างตัวล้มลุกคลุกคลานตลอดแล้วมันแก้ไขได้ ครูบาอาจารย์แบบนั้นน่ะจะแนะนำเราได้ ครูบาอาจารย์นั้นน่ะจะคอยบอกเรา
แต่ถ้าไปเจอครูบาอาจารย์ที่มันไม่เคยเจริญ คือไม่เคยเสื่อม กูไม่เคยหาเงินเลย กูไถเขามาทั้งนั้นน่ะ กูทำงานไม่เป็น แล้วกูจะสอนคนอื่นได้อย่างไร
นี่ไง ถ้าไปปรึกษาครูบาอาจารย์ ต้องปรึกษาครูบาอาจารย์แบบนี้มันถึงจะแก้จิตเสื่อมได้
ฉะนั้นจะบอกไว้ก่อน มันยังไม่เกิดขึ้นไง ถ้ามันถึงเวลาแล้วมันจะเกิดขึ้นกับเรา แล้วไปแก้เอาตอนนั้น นี่เขาว่า แก้จิตเสื่อม จบ